Chalita and Associates Lawyer Office v1.4.3
083-691-4990
line@lawyerbefair
lawyerbefair@gmail.com
line@lawyerbefair
083-691-4990
โดย ทนายชลิตา หนูพลัด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2558

         จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ส่งพยานหลักฐานการชำระราคาที่ดิน ลำพังหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน ไม่อาจรับฟังได้ว่า ส.ชำระเงินให้แก่ ป. แล้ว จึงฟังไม่ได้ว่า ส. รับโอนที่ดินโดยเสียค่าตอบแทนนั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ตั้งประเด็นในคำให้การว่า ส. รับโอนที่ดินพิพาทจาก ป. โดยมิได้ชำระค่าที่ดินหรือไม่เสียค่าตอบแทน ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

         ส. ซื้อและรับโอนที่ดินจาก ป. โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย จึงได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต จำเลยกล่าวอ้างว่า ส.รับโอนที่ดินโดยไม่สุจริต จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 ซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลภายนอกที่ได้มาโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง หมายถึง การได้มาโดยไม่รู้ว่ามีบุคคลอื่นได้สิทธิในอสังหาริมทรัพย์มาก่อนแล้ว ถ้าได้มาโดยรู้เช่นนั้นย่อมไม่สุจริต เมื่อที่ดินพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดินซึ่งสามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิในทางทะเบียนได้โดยไม่จำเป็นต้องส่งมอบการครอบครองให้แก่กัน ทั้งในทะเบียนที่ดินและโฉนดที่ดินก็ระบุชัดว่า ป.เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยได้รับมรดกจากบิดา กับไม่มีการจดแจ้งอย่างใดๆ ว่า จำเลยเป็นเจ้าของตึกแถวที่ปลูกสร้างอยู่ในที่ดิน ย่อมมีเหตุผลเพียงพอที่ ส.จะตกลงซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทในทางทะเบียน โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงว่า ป.เป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างแท้จริงหรือไม่ ลำพังพฤติการ์ณที่ ส.ซื้อที่ดินมาในราคาสูงก็ดี ที่ดินอยู่ในทำเลการค้าหรือในที่เจริญก็ดี แต่ ส.ไม่ไปตรวจสอบที่ดินก่อนว่ามีใครเป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์และเข้าไปอยู่ในตึกแถวได้อย่างไรในฐานะใด จึงยังไม่พอฟังได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของ ส.อันเป็นการซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริต จำเลยยกการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ยังมิได้จดทะเบียนขึ้นต่อสู้ ส.ไม่ได้ ส.มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย เช่นนี้ต่อมาการที่โจทก์ทั้งสองซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทจาก ส. ไม่ว่าจะสุจริตหรือไม่ จำเลยก็ไม่อาจยกการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ยังมิได้จดทะเบียนขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง เพราะสิทธิที่จะอ้างข้อกฎหมายดังกล่าวของจำเลยขาดช่วงไปตั้งแต่ ส.ซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทมาจาก ป.โดยสุจริตแล้ว โจทก์ทั้งสองมีสิทธิดีกว่าจำเลย การครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทของจำเลยจึงต้องรับแต่โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ซึ่งนับถึงวันที่จำเลยฟ้องแย้งยังไม่ถึง 10 ปี จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

         การที่ ม. และ ข. ปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินของตนเอง ต่อมาแบ่งแยกที่ดินและตึกแถวให้แก่บุตร โดยปรากฏในภายหลังว่าตึกแถวเลขที่ 1/12 ซึ่งยกให้ อ.อยู่ในที่ดินพิพาทที่ยกให้ ล.ทั้งแปลงและอยู่ในที่ดินของ อ. เป็นส่วนน้อย จึงต้องถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตมาแต่เดิมและกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้โดยตรง จึงต้องอาศัยเทียบเคียงตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ซึ่งเป็นบทบัญญัติกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ตามมาตรา 4 วรรคสอง อันมีผลทำให้โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของตึกแถวเลขที่ 1/12 แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างตึกแถวเลยที่ 1/12 นั้นให้แก่จำเลยและพวกซึ่งถือกรรมสิทธิ์รวม ส่วนตกแถวเลขที่ 1/12 บางส่วนที่อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1247 ประมาณ 2 ตารางวา ก็ต้องปรับบทเทียงเคียง ตามประมวลกฎมาตรา 1312 วรรคหนึ่ง โดยถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ตึกแถวเลขที่ 1/12 ส่วนที่ปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยจึงเป็นของโจทก์ทั้งสองด้วย แต่โจทก์ทั้งสองต้องเสียเงินค่าที่ดินส่วนที่รุกล้ำให้แก่จำเลยและพวก การครอบครองตึกแถวของจำเลยจึงไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง เพราะจำเลยมีสิทธิครอบครองโดยชอบมาแต่เดิม และโจทก์ทั้งสองยังมิได้ใช้ค่าที่ดินทั้งสองกรณีให้แก่จำเลย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองต้องไปบังคับแก่จำเลยตามบทกฎหมายที่ถูกต้องต่อไป ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5), 246 และ 247

...........................................................................................

         โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 1/12 แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร และส่งมอบคืนในสภาพเรียบร้อย กับใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 451,500 บาท และเดือนละ 14,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจำเลยจะส่งมอบตึกแถวคืนโจทก์ทั้งสองเสร็จ

         จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 748 ตำบลพญาไท อำเภอราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ กับห้ามโจทก์ทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องกับตึกแถวและที่ดิน

         โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

         ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 15,000 บาท และใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 เมษายน 2553) จนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 746 ตำบลพญาไท อำเภอราชเทวี กรุงเทพมหานคร คืนให้โจทก์ทั้งสองในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสองชนะคดี คำขออื่นและฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ

         จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่า มีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้

         ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องของโจทก์ทั้งสองและฟ้องแย้งของจำเลยชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

         จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่า มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

         ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเบื้องต้นเป็นยุติว่า เดิมนางแม้น มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1247 ตำบลถนนพญาไท(พญาไท) อำเภอราชเทวี(ดุสิต) กรุงเทพมหานคร เมื่อปี 2514 นางแม้นและนายเขียน(สามีนางแม้น) สร้างตึกแถวสองชั้นครึ่งหลายคูหาบนที่ดินออกให้เช่า แล้วยกตกแถวให้นายสวัสดิ์ นายลิขิต และนางอุทัยวรรณ ซึ่งเป็นบุตรเก็บค่าเช่า ปี 2517 นางแม้นแบ่งแยกที่ดินเป็นซอยวัฒนโยธินและเป็นแปลงย่อย 3 แปลง ยกให้แก่บุตรตามจำนวนตึกแถวที่แต่ละคนเก็บค่าเช่า นางอุทัยวรรณได้ที่ดินแปลงคง นายลิขิตได้ที่ดินโฉนดเลขที่ 9591 นายสวัสดิ์ได้ที่ดินแปลงถัดไป ปี 2530 นางแม้นในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเขียนจดทะเบียนยกตึกแถวให้แก่นายสวัสดิ์ นายลิขิต และนางอุทัยวรรณ โดยนางอุทัยวรรณได้ตึกแถวเลขที่ 1, 1/1 ถึง 1/12, 1/40 ถึง 1/43, 428/8 ถึง 428/11, 428/15 ถึง 428/18 นางอุทัยวรรณปรับปรุงตึกแถวชั้นล่างให้เช่าค้าขาย ชั้นที่ 2 และที่ 3 เป็นห้องเช่า ชื่อ หอพักอุทัยวรรณ ปี 2529 นางอุทัยวรรณแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1247 เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 14719 และ 533 และเมื่อปี 2544 จดทะเบียนยกที่ดินทั้งสามแปลงพร้อมตึกแถวให้แก่จำเลย นางสาวปริญญาทิพย์ และนายมนตรี ซึ่งเป็นบุตรถือกรรมสิทธิ์รวม ปี 2547 นายลิขิตแย่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 9591 ออกเป้นที่ดินแปลงย่อย 8 แปลง โดยที่ตึกแถวเลขที่ 1/12 ของจำเลยและพวกตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 746 ของนายลิขิตทั้งแปลงและบางส่วนอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1247 ประมาณ 2 ตารางวา หลังจากนายลิขิตถึงแก่ความตาย นายปิยะพงษ์ ซึ่งเป็นบุตรและเป็นผู้จัดการมรดกของนายลิขิตจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 746 ที่พิพาทมาเป็นของตน และจดทะเบียนโอนขายให้นายโสภณ ในราคา 2,500,000 บาท นายโสภณจดทะเบียนขายฝากให้แก่โจทก์ทั้งสองมีกำหนด 1 ปี ในราคา 4,130,000 บาท แล้วไม่ไถ่คืนตามหนังสือสัญญาขายที่ดินและหนังสือสัญญาขายฝาก

         มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยยกการได้มาซึ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 746 ที่พิพาท โดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ทั้งสองได้หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ส่งหลักฐานการชำระราคาที่ดิน ลำพังหนังสือสัญญาขายที่ดิน ไม่อาจรับฟังได้ว่า นายโสภณชำระเงินให้แก่นายปิยะพงษ์แล้ว จึงฟังไม่ได้ว่านายโสภณรับโอนที่ดินโดยเสียค่าตอบแทนนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ตั้งประเด็นในคำให้การว่า นายโสภณรับโอนที่ดินพิพาทจากนายปิยะพงษ์โดยมิได้ชำระค่าที่ดินหรือไม่เสียค่าตอบแทน ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่จำเลยฎีกาว่า นายโสภณซื้อและรับโอนโดยไม่เคยไปตรวจสอบดูที่ดินและตึกแถวว่า จำเลยหรือบุคคลภายนอกครอบครองใช้ประโยชน์ได้อย่างไรและฐานะใด จึงเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการรับโอยโดยไม่สุจริต และโจทก์ทั้งสองได้ซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทจากนายโสภณโดยไม่สุจริต เห็นว่า นายโสภณซื้อและรับโอนที่ดินจากนายปิยะพงษ์ โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย จึงได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำโดยสุจริต จำเลยกล่าวอ้างว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 ซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลภายนอกที่ได้มาโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง หมายถึง การได้มาโดยไม่รู้ว่ามีบุคคลอื่นได้สิทธิในอสังหาริมทรัพย์มาก่อนแล้ว ถ้าได้มาโดยรู้เช่นนั้นย่อมไม่สุจริต ที่จำเลยและนางอุทัยวรรณเบิกความถึงการซื้อขายและรับโอนที่ดินพิพาทระหว่างที่นายปิยะพงษ์และนายโสภณ นางอุทัยวรรณเบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสองถามค้านว่า พยานไม่ทราบเรื่องและไม่เคยรู้จักนายโสภณ จึงไม่มีการกระทำใดๆของนายโสภณในอันที่จะบ่งชี้ว่านายโสภณรู้เรื่องตึกแถวของจำเลยปลูกสร้างอยู่บนที่ดินพิพาทและจำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินจนได้กรรมสิทธิมาก่อน ที่จำเลยเบิกความว่า ก่อนจดทะเบียนโอน นายโสภณ ไม่เคยมาตรวจสอบการครอบครองตึกแถวขอจำเลย ภายหลังจากรับโอนนายโสภณมาข่มขู่ผู้เช่าชั้นล่างให้นำค่าเช่าไปชำระให้นายโสภณ ต่อมาจำเลยได้ชี้แจงการครอบครองตึกแถวให้นายโสภณฟังพร้อมแสดงหนังสือการโอนมรดกตึกแถวให้นายโสภณดู จำเลยและนายโสภณโต้เถียงกันอย่างรุนแรง หลังจากนั้น จำเลยไม่เคยพบนายโสภณอีกเลย ก็แสดงว่านายโสภณเพิ่งรู้เรื่องหลังจากที่นายโสภณซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทมาจากนายปิยะพงษ์และได้พบกับจำเลยในปี 2550 เมื่อที่ดินพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดินซึ่งสามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทางทะเบียนได้โดยไม่จำต้องส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่กัน ทั้งในทะเบียนที่ดินและโฉนดที่ดินก็ระบุชัดว่านายปิยะพงษ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยได้รับมรดกจากบิดา กับไม่มีการจดแจ้งใดๆ ว่าจำเลยเป็นเจ้าของตึกแถวที่ปลูกสร้างอยู่ในที่ดิน ย่อมมีเหตุผลเพียงพอที่นายโสภณจะตกลงซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทในทางทะเบียน โดยไม่จำต้องคำนึงว่านายปิยะพงษ์เป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างแท้จริงหรือไม่ ลำพังเพียงพฤติการณ์ที่นายโสภณซื้อที่ดินมาในราคาสูงก็ดี ที่ดินอยู่ในทำเลการค้าหรือในที่เจริญก็ดี แต่นายโสภณไม่ไปตรวจสอบที่ดินก่อนว่ามีใครเป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์และเข้าไปอยู่ในตึกแถวได้อย่างไร ในฐานะใด จึงยังไม่พอฟังได้ว่าเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนายโสภณ อันเป็นการซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริต จำเลยยกการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ยังมิได้จดทะเบียนขึ้นเป็นข้อต่อสู้นายโสภณไม่ได้ นายโสภณมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย เช่นนี้ ต่อมาการที่โจทก์ทั้งสองซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทจากนายโสภณไม่ว่าโจทก์ทั้งสองจะสุจริตหรือไม่ จำเลยก็ไม่อาจที่จะยกการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ยังมิได้จดทะเบียนขึ้นต่อสู้จำเลยทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง เพราะสิทธิที่จะอ้างข้อกฎหมายดังกล่าวของจำเลยขาดช่วงไปตั้งแต่ที่นายโสภณซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทจากนายปิยะพงษ์โดยสุจริตแล้ว โจทก์ทั้งสองมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย การครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทของจำเลยจึงต้องเริ่มนับใหม่นับแต่โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ซึ่งนับถึงวันที่จำเลยฟ้องแย้งวันที่ 28 มิถุนายน 2553 ยังไม่ถึง 10 ปี จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การที่นางแม้นและนายเขียนปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินของตัวเอง ต่อมาแบ่งแยกที่ดินและยกตึกแถวให้แก่บุตร โดยปรากฏในภายหลังว่าตึกแถวเลขที่ 1/12 ซึ่งยกให้นางอุทัยวรรณอยู่ในที่ดินพิพาทที่ยกให้นายลิขิตทั้งแปลงและอยู่ในที่ดินของนางอุทัยวรรณเป็นส่วนน้อย จึงต้องถือว่า เป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตมาแต่เดิมและกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายที่จะปรับยกแก่คดีได้โดยตรง จึงต้องอาศัยเทียบเคียงตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ตามมาตรา 4 วรรคสอง อันมีผลทำให้โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของตึกแถวเลขที่ 1/12 บางส่วนที่อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1247 ประมาณ 2 ตารางวา ก็ต้องปรับบทเทียบเคียง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรคหนึ่ง โดยถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ตึกแถวเลขที่ 1/12 ส่วนที่ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยจึงเป็นของโจทก์ด้วย แต่โจทก์ทั้งสองต้องเสียค่าแห่งที่ดิน ส่วนที่รุกล้ำให้แก่จำเลยและพวก การครอบครองตึกแถวของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง เพราะจำเลยมีสิทธิครอบครองตึกแถวของจำเลยจึงไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง เพราะจำเลยมีสิทธิครอบครองโดยชอบมาแต่เดิมและโจทก์ทั้งสองยังมิได้ใช้ค่าแห่งที่ดินทั้งในสองกรณีให้แก่จำเลย โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองต้องบังคับแก่จำเลยตามบทกฎหมายที่ถูกต้องต่อไป ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่บง มาตรา 142(5), 246 และ 247 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีก

         พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 

หากต้องการปรึกษาทนายความ คลิก

หรือติดตามทนาย ผ่าน Facebook : ทนายชลิตา แยม