การร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
เมื่อบุคคลใดถึงแก่ความตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท แต่การแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาทโดยธรรมหรือทายาทโดยพินัยกรรมนั้น หากแบ่งกันเองโดยไม่มีผู้จัดการมรดกก็อาจก่อให้เกิดปัญหาในการจัดการทรัพย์มรดกหรือเกิดการทะเลาะกันระหว่างทายาท กฎหมายจึงบัญญัติให้มีการตั้งผู้จัดการมรดกขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการจัดการทรัพย์มรดกและปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด โดยการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกนั้น จะตั้งขึ้นโดยพินัยกรรมหรือโดยคำสั่งศาลก็ได้ ซึ่งในบทความนี้เราจะพูดถึงการตั้งผู้จัดการมรดกโดยคำสั่งศาล ที่ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณีจะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดก ศาลจึงจะแต่งตั้งผู้จัดการมรดกให้
ก่อนที่จะพูดถึงขั้นตอนการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกนั้น ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า ผู้จัดการมรดกคือใคร ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่อะไร ใครสามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้บ้าง ใครบ้างที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก ซึ่งวันนี้เรามีคำตอบในแต่ละคำถามให้
ต้องการให้ทนายความยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก คลิก
หรือติดตามทนาย ผ่าน Facebook : ทนายชลิตา แยม
ผู้จัดการมรดก คือใคร
ผู้จัดการมรดก คือ บุคคลที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นผู้จัดการมรดก หรือบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งโดยพินัยกรรมให้เป็นผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดก มีหน้าที่อะไร
ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่รวบรวม จัดทำบัญชี และแบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกในอัตราส่วนที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนด หรือแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามพินัยกรรม ซึ่งหน้าที่การเป็นผู้จัดการมรดกนี้เป็นหน้าที่เฉพาะตัวต้องจัดการด้วยตนเอง ผู้จัดการมรดกไม่สามารถมอบหมายให้บุคคลใดทำแทนได้ เว้นแต่ได้กำหนดไว้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในพินัยกรรม หรือโดยคำสั่งศาล หรือในพฤติการณ์เพื่อประโยชน์แก่กองมรดก
หน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังต่อไปนี้
1.ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ ที่จะทำการอันจำเป็น เพื่อให้การจัดการมรดกเป็นไปตามคำสั่งชัดแจ้งหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1719
2.หน้าที่ลงมือ(เริ่ม) จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1728 และจะต้องแล้วเสร็จภายใน 1 เดือน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1729 นับแต่ระยะเวลาดังต่อไปนี้
(1) นับแต่วันที่เจ้ามรดกตาย ถ้าในกรณีที่ผู้จัดการมรดกได้รู้ถึงการตั้งแต่งตามพินัยกรรมที่มอบหมายไว้แก่ตน หรือ
(2) นับแต่วันที่เริ่มหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1726 ในกรณีที่ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดก หรือ
(3) นับแต่วันที่ผู้จัดการมรดกรับเป็นผู้จัดการมรดกในกรณีอื่น
3.หน้าที่ทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เริ่มหน้าที่ผู้จัดการมรดกในกรณีที่ศาลตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดก หรือนับแต่เจ้ามรดกตายในกรณีที่ผู้จัดการมรดกได้รู้ถึงการแต่งตั้งตามพินัยกรรมที่มอบหมายไว้แก่ตน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1732
ใครมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก
บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ได้แก่ ทายาท หรือผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการ
- ทายาท หมายถึง ทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกเท่านั้น เป็นทายาทโดยธรรมหรือทายาทโดยพินัยกรรมก็ได้ ซึ่งทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกจะต้องเป็นทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกเท่านั้น ต้องไม่เสียสิทธิในการรับมรดก กล่าวคือ ต้องไม่ถูกกำจัดมิให้ได้มรดกหรือสละมรดก หรือถูกตัดมิให้ได้รับมรดก
- ผู้มีส่วนได้เสีย หมายถึง ผู้ซึ่งมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในทรัพย์มรดก โดยบุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ได้รับประโยชน์ถ้ามีการจัดการมรดกขึ้นมา หรือจะเสียประโยชน์ถ้าไม่มีผู้จัดการมรดก ได้แก่ ผู้สืบสิทธิของทายาท, ผู้แทนโดยชอบธรรมของทายาท, ผู้ปกครองของทายาทที่เป็นผู้เยาว์, เจ้าหนี้กองมรดกที่ไม่มีทายาท, ผู้อนุบาลของทายาทที่เป็นคนไร้ความสามารถ, ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม, สามีภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมาย, ผู้มีกรรมสิทธิ์รวม, ผู้ประกอบกิจการค้าร่วมกับผู้ตาย
- พนักงานอัยการ คือ ข้าราชการในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด การที่กฎหมายให้อำนาจพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกได้ ก็เพื่อช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ สิทธิในการยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก เป็นสิทธิเฉพาะตัวของทายาทหรือผู้มีส่วนเสีย ถ้าทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียที่เป็นผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกตาย สิทธิดังกล่าวไม่ตกทอดไปยังทายาท (ฎีกาที่ 5753/2533, ฎีกาที่ 3791-3792/2534, ฎีกาที่ 1114/2549, ฎีกาที่ 5474/2552)
ส่วนกรณีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกแล้วต่อมาพนักงานอัยการคนนั้นตาย เป็นเรื่องที่พนักงานอัยการคนนั้นปฏิบัติหน้าที่ตามราชการ เมื่อตายพนักงานอัยการคนอื่นสามารถมาดำเนินการต่อไปได้
เหตุที่จะร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก
เป็นเหตุที่ต้องบรรยายในคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก แล้วแต่กรณี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1713 บัญญัติเหตุที่จะร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกไว้ ดังนี้
(1) เจ้ามรดกตาย ทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรมได้สูญหายไป หรืออยู่นอกราชอาณาจักร หรือเป็นผู้เยาว์
(2) เมื่อผู้จัดการมรดกหรือทายาทไม่สามารถ หรือไม่เต็มใจที่จะจัดการ หรือมีเหตุขัดข้องในการจัดการ หรือในการแบ่งปันมรดก
(3) เมื่อข้อกำหนดพินัยกรรมซึ่งตั้งผู้จัดการมรดกไว้ไม่มีผลบังคับได้ด้วยประการใดๆ
ใครสามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้บ้าง
บุคคลที่จะมาเป็นผู้จัดการมรดกนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นทายาท หรือเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เพียงแต่ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตาม ป.พ.พ.มาตรา 1718 ศาลก็อาจตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกได้ (ฎีกาที่ 342/2534)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 บัญญัติว่า บุคคลดังต่อไปนี้จะเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้
(1) ผู้ซึ่งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
(2) บุคคลวิกลจริต หรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ
(3) บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย
ดังนั้น จากบทบัญญัติ ป.พ.พ.มาตรา 1318 ผู้จัดการมรดกต้องต้องบรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต และไม่เป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และไม่เป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย
หากต่อมาภายหลังจากที่ศาลตั้งบุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว บุคคลนั้นกลายเป็นบุคคลวิกลจริต หรือศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย ผู้จัดการมรดกคนนั้นย่อมขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้จัดการมรดก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1718 บุคคลนั้นจึงไม่เป็นผู้จัดการมรดกอีกต่อไป (ฎีกาที่ 1403/2538)
ขั้นตอนการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก กรณีไม่มีผู้คัดค้าน
- ยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกพร้อมเอกสารแนบท้ายคำร้อง บัญชีพยาน คำแถลงขอปิดหมายและส่งหมายข้ามเขต ต่อศาลที่มีเขตอำนาจ และนำหมาย
- นัดไต่สวนคำร้อง (กรณีไม่มีผู้คัดค้าน ศาลจะสืบพยานผู้ร้องฝ่ายเดียว)
- นัดฟังคำสั่ง (สามารถคัดถ่ายคำสั่งได้หลังจากที่ศาลอ่านคำสั่ง)
- รอครบกำหนด 1 เดือน ขอให้ศาลออกหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดและคัดถ่ายคำพิพากษา เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการจัดการมรดก
เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
1.เอกสารของเจ้ามรดก (ผู้ตาย)
- สำเนาใบมรณบัตรหรือหนังสือรับรองการตาย
- สำเนาทะเบียนบ้าน (ประทับคำว่า “ตาย”)
- สำเนาใบสำคัญการสมรส/ใบสำคัญการหย่า (ถ้ามี)
- สำเนาหนังสือรับรองการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
- สำเนาทะเบียนรับรองบุตร, ทะเบียนรับรองบุตรบุญธรรม (ถ้ามี)
- พินัยกรรมผู้ตาย (ถ้ามี)
2.เอกสารของผู้ที่จะเป็นผู้ร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
3.เอกสารของผู้ที่จะเป็นผู้จัดการมรดก
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาใบสำคัญการสมรส (ถ้ามี)
- สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
4.เอกสารของทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกทุกคนที่มีสิทธิได้รับมรดก เช่น บิดา มารดา คู่สมรส บุตร(ทั้งบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย และบุตรนอกสมรสแต่บิดาได้รับรองแล้ว)
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาในสำคัญการสมรส (ถ้ามี)
- สำเนาในสำคัญการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
- สำเนาใบมรณของบิดา และหรือ มารดา ของเจ้ามรดก (กรณีบิดาหรือมารดาของเจ้ามรดกเสียชีวิต)
- หนังสือให้ความยินยอมของทายาท
- บัญชีเครือญาติ
5.เอกสารที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดก
- โฉนดที่ดิน หรือสำเนาโฉนดที่ดินที่คัดรับรองจากสำนักงานที่ดิน
- ทะเบียนรถ หรือสำเนาทะเบียนรถ
- สมุดบัญชีธนาคาร
- ใบหุ้น
- เอกสารแสดงสิทธิในทรัพย์สินอื่นๆ (ถ้ามี)
ค่าใช้จ่ายในการยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก
1. ค่าวิชาชีพทนายความ (ตามตกลง)
หมายเหตุ : เนื่องจากทนายความไม่สามารถประกาศหรือโฆษณาอัตราค่าวิชาชีพในเว็บไซต์ได้ เนื่องจาก ข้อบังคับของสภาทนายความ ห้ามมิให้ทนายความโฆษณาหรือประกาศอัตราค่าจ้างว่าความ หรือโฆษณาว่าไม่เรียกร้องค่าทนายความ ตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 ข้อ 17
2. ค่าขึ้นศาล 200 บาท
3. ค่านำหมาย (ค่าส่งสำเนาคำร้องและหมายนัด ให้ทายาท) ตามภูมิลำเนา ตามอัตราของศาล